ประวัติพระราชวีรมุนี (ชำนิ ฉนฺโน ป.ธ.๕)
นามเดิมชื่อ ชำนิ นามสกุล อักษรสม เกิดเมื่อวันที่ ๖ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๔ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ ปี กุน ณ บ้านหูรัง ตำบลสมอทอง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฏร์ธานี บิดาชื่อ นายเชื่อม อังษรสม มารดาชื่อ นางทา อักษรสม มีพี่น้องร่วมบิดา – มารดาเดียวกัน ๖ คน คือ
๑. พระราชวีรมุนี (ชำนิ ฉนฺโน)
๒. นางเลี้ยง อังษรสม
๓. เด็กหญิงซิ้ว อักษรสม
๔. เด็กชายผล อักษรสม
๕. พระครูพิเศษเขมาจาร (เขียม เขมจาโร)
๖. พระครูสิริรัตนโสภณ (แดง รตนาโภ)
ประวัติการบรรพชา
เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเส็ง วันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ณ วัดศรีสุวรรณ ตำบลสมอทอง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยมีพระครูประสงค์สารการ วัดวิชิตดิตถาราม จังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นพระอุปัชฌาย์
ประวัติการอุปสมบท
เมื่อวันจันทร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะแม วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๗๕ นายชำนิ ฉนฺโน (ในขนาดนั้น) ได้เข้ารับการอุปสมบท ณ วัดศรีสุวรรณ ตำบลสมอทอง อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฏร์ธานี โดยมีพระครูประสงค์สารการ วัดวิชิตดิตถาราม จังหวัดสุราษฏร์ธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระสมุห์สุด เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระครูฮอด เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ประวัติการศึกษา
พ.ศ. ๒๔๖๘ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จากโรงเรียน
วัดศรีสุวรรณ อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฏร์ธานี
พ.ศ. ๒๔๗๒ สอบได้นักธรรมชั้นตรี จากสำนักเรียนวัดศรีสุวรรณ
พ.ศ. ๒๔๗๓ สอบได้นักธรรมชั้นโท จากสำนักเรียนวัดโพธาราม
อำเภอไชยยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี
พ.ศ. ๒๔๗๔ สอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักเรียนวัดวัดโพธาราม
อำเภอไชยยา จังหวัดสุราษฏร์ธานี
พ.ศ. ๒๔๗๖ เรียนบาลีไวยากรณ์ วัดภูมิเวียง อำเภอไชยยา
จังหวัดสุราษฏร์ธานี
พ.ศ. ๒๔๗๕ สอบไล่ได้ ป.ธ.๓ จากสำนักเรียนวัดมหาธาตุยุวราช-
รังสฤษฏ์ กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๔๗๗ สอบไล่ได้ ป.ธ.๕ จากสำนักเรียนวัดมหาธาตุยุวราช-
รังสฤษฏ์ กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๑๕ ได้เข้ารับการศึกษาและสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนพระ
สังฆาธิการส่วนกลาง แผนกศึกษาอบรม เป็นรุ่นที่ ๔
พ.ศ. ๒๕๓๒ ได้รับปริญาพุทธศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (สาขา
มนุษย์ศาสตร์) จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราชวิทยาลัย
การศึกษาพิเศษ คันถธุระ และ วิปัสสนาธุระ ณ วัดมหาธาตุฯ
ความชำนาญการ วิปัสสนาธุระภาคปฏิบัติ วาทศิลป์ ประยุกต์ธรรมเพื่อเผยแผ่
พระเดชพระคุณพระราชวีรมุนี ถ่ายภาพร่วมกับพระศรีอรรถเมธี (ซ้ายมือ) และเจ้าคณะอำเภอปากชม (ขวามือ) พร้อมด้วยพระภิกษุ – สามเณร
พระราชวีรมุนีได้เข้าร่วมโครงการ วิปัสสนาเคลื่อนที่
นำโดยเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถระ) เมื่อปี ๒๕๒๖
ประวัติด้านงานปกครอง
พ.ศ.๒๔๗๓ เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี (โดยพระพิมลธรรม
วัดมหาธาตุฯ เป็นผู้ส่งมาช่วยงานภาคอิสาน)
พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นพระธรรมธร จังหวัดอุดรธานี
พ.ศ.๒๔๙๒ เป็นรักษาการเจ้าคณะจังหวัดเลย (โดยพระพิมลธรรมส่งมา)
พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นเจ้าคณะจังหวัดเลย
พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง อำเภอเมืองเลย
พ.ศ.๒๕๓๓ เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดเลย
สมณศักดิ์ที่ได้รับ
พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ ที่ “พระวีรญาณมุนี”
พ.ศ. ๒๕๑๖ เป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ “พระราชวีรมุนี ”
ซึ่ง ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมธ อดีตบทบาทรัฐมนตรี ศฺลปินคอลัมภ์แห่งชาติ นำไปเขียนลงหนังสือพิมพ์สยามรัฐหน้าที่ ๕ ที่มีชื่อเสียง ระหว่างที่มีชีวิตอยู่พระเดชพระคุณพระราชวีรมุนี ท่านได้มีการเทศนาสั่งสอนญาติโยมตลอดจนมีผลงานการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยใช้นามแผงว่า “สีหนาทภิกขุ”
อวสานแห่งชีวิต
พระเดชพระคุณพระราชวีรมุนี (ชำนิ ฉนฺโน ป.ธ.๕) อาพาธมาตั้งแต่มี พ.ศ. ๒๕๓๐ ขณะที่ท่านอายุได้ ๗๗ ปี ด้วยอาการกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท เดินไปมาไม่สะดวก ต่อมาได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังที่โรงพยาบาลประสาทกระดูก แล้วรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์กรุงเทพมหานคร เมื่ออาการดีขึ้นตามลำดับ แพทย์อนุญาตให้กลับวัดได้ พระเดชพระคุณพระราชวีรมุนี จึงเดินทางกลับมารักษาตัวที่จังหวัดเลย และเมื่ออาการกำเริบขึ้นอีกก็เข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล ทั้งในจังหวัดเลยและกรุงเทพมหานคร อยู่หลายรอบ กระทั่งบางปีกลับวัดไปอธิษฐานเข้าพรรษาที่วัดแล้วก็ไปจำพรรษาที่ตึกสงฆ์อาพาธโรงพยาบาลเลย และวาระสุดท้ายปีสุดท้าย ได้ไปจำพรรษาที่ตึกสงฆ์อาพาธที่โรงพยาบาลเลย
เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ อาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่พอใจของแพทย์ พยาบาล และคณะศิษยานุศิษย์ ญาติโยมชาวจังหวัดเลย และผู้ที่เคารพศรัทธาในพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชวีรมุนี ต่อมาถึงคืนวันที่ ๒๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ได้ละสังขารจากไปด้วยอาการสงบ สิริอายุ ๘๘ ปี ๕ เดือน กับอีก ๒๐ วัน ๖๘ พรรษา ณ โรงพยาบาลเลย ท่านจากไปพร้อมกับความชุ่มฉ่ำของสายฝนที่โปรยปรายลงมาชะโลมพื้นปฐพีตลอดคืนวันนั้นเอง ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้งของคณะสงฆ์จังหวัดเลย พระเถรระดับผู้บริหารในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทุกจังหวัดและพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ